top of page

นิทรรศการที่ Skiptvet

อัปเดตเมื่อ 19 พ.ย.

บริเวณลานเทศบาล - 21 กันยายน


ในโอกาสที่ วัดป่าชิปท์เว็ท ได้จัดนิทรรศการขนาดเล็กเพื่อนำเสนอชีวิตของพระภิกษุ โดยเน้นไปที่เครื่องนุ่งห่มของพระภิกษุและกระบวนการทำจีวร




สารบัญ




 

พวกเราเป็นใคร

เราปักหลักที่นี่ได้อย่างไร


ที่มา

เมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อน พระพุทธเจ้าทรงประสูติที่เมืองลุมพินี (ปัจจุบันคือประเทศเนปาล) พระองค์ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายจนกระทั่งอายุได้ 29 ปี เมื่อได้พบเห็นความทุกข์ยากนอกกำแพงพระราชวัง ซึ่งทำให้พระองค์สละชีวิตที่สุขสบายและออกแสวงหาการตรัสรู้


หลังจากบำเพ็ญเพียรและทำสมาธิเป็นเวลา 6 ปี พระองค์ทรงบรรลุธรรมขณะนั่งใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ในเมืองพุทธคยา ทรงได้รับการขนานนามว่าพระพุทธเจ้า ซึ่งหมายถึง "ผู้ตื่นรู้" ทรงใช้เวลาที่เหลือของพระองค์ในการสอนผู้อื่นให้บรรลุธรรมและยุติความทุกข์ที่เกิดขึ้น

คำสอนของพระองค์แพร่หลายไปทั่วอินเดียและในที่สุดก็ทั่วเอเชีย โดยพัฒนาเป็นสำนักและแนวปฏิบัติต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไป


ประเทศไทย

พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ประเทศไทยเมื่อศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ตั้งแต่นั้นมา พระพุทธศาสนาก็มีบทบาทโดดเด่นในสังคมและวัฒนธรรมไทยไม่มากก็น้อย ขึ้นอยู่กับกษัตริย์และผู้ปกครอง


ประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนาไทยมีลักษณะเป็นวัฏจักรแห่งความเสื่อมถอยและการฟื้นคืน ซึ่งถูกหล่อหลอมโดยอิทธิพลภายนอก และบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป พระพุทธศาสนายังคงมีความยืดหยุ่น ปรับตัวเข้ากับความท้าทายในปัจจุบันได้ พร้อมทั้งพยายามรักษาหลักคำสอนและการปฏิบัติที่เป็นแกนหลักสำคัญไว้


ในศตวรรษที่ 20 พระพุทธศาสนาแบบวัดป่าในประเทศไทยได้เติบโตขึ้น ซึ่งเป็นการปฏิรูปที่นำโดยบุคคลสำคัญ เช่น พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ชา และท่านอื่นๆ ซึ่งเน้นย้ำถึงการกลับคืนสู่ระเบียบวินัยของสงฆ์ที่เคร่งครัด การทำสมาธิ การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ ลักษณะเช่นนี้ได้รับการยอมรับและได้รับความนิยมในระดับนานาชาติ ซึ่งเรียกว่า พระพุทธศาสนาแบบวัดป่าในประเทศไทย


พระอาจารย์ชา - พ.ศ. 2461 ถึง 2535

พระอาจารย์ชาเป็นพระสงฆ์ไทยที่ได้รับการเคารพนับถือและเป็นอาจารย์สอนการทำสมาธิ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาแบบวัดป่าของประเทศไทย พระอาจารย์ชาเป็นที่รู้จักจากคำสอนที่เรียบง่ายและปฏิบัติได้จริง โดยเน้นย้ำถึงวินัยสงฆ์ที่เคร่งครัดและการเจริญสติในชีวิตประจำวัน พระอาจารย์ชาได้ก่อตั้งวัดหนองป่าพง ซึ่งเป็นวัดป่าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ซึ่งกลายมาเป็นศูนย์กลางของผู้ปฏิบัติธรรมทั้งชาวไทยและชาวตะวันตก คำสอนของท่านยังคงมีอิทธิพลต่อชุมชนชาวพุทธทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านลูกศิษย์ชาวตะวันตกที่ก่อตั้งวัดขึ้นในต่างประเทศ พระอาจารย์ชาเป็นที่จดจำจากความสำคัญของการทำสมาธิ ความเรียบง่าย และการมองเห็นธรรมชาติของจิต


ในปี พ.ศ. 2510 พระภิกษุหนุ่มชาวอเมริกันได้เดินทางมาที่วัดป่าพง หลังจากนั้นไม่นาน เขาได้ขออาศัยและฝึกฝนที่นั่น เขาได้กลายเป็นลูกศิษย์ชาวตะวันตกรูปแรกของพระอาจารย์ชา


วัดนานาชาติแห่งแรก

ในปี พ.ศ. 2517 ลูกศิษย์ชาวตะวันตกจำนวนหนึ่งซึ่งนำโดยพระอาจารย์สุเมโธ ได้ไปจำพรรษาในป่าช้าซึ่งอยู่ห่างจากวัดหนองป่าพงไปไม่กี่กิโลเมตร เมื่อสิ้นสุดพรรษา ชาวบ้านในพื้นที่ได้ร้องขออย่างเป็นทางการให้พระอาจารย์ชาจัดตั้งวัดเป็นการถาวรในสถานที่ดังกล่าว


วัดป่านานาชาติ ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้พระภิกษุชาวตะวันตกที่พูดภาษาอังกฤษได้เข้ามาปฏิบัติธรรมตามแนวทางวัดป่าไทย วัดแห่งนี้เน้นระเบียบวินัยสงฆ์ที่เคร่งครัด การทำสมาธิ และการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกลมกลืนกับธรรมชาติ วัดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของผู้ปฏิบัติธรรมจากต่างประเทศ และมีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่คำสอนของพระอาจารย์ชาไปทั่วโลก


ไปสู่ฝั่งตะวันตก

ตามคำเชิญของคณะสงฆ์อังกฤษ พระอาจารย์ชาได้ไปเยือนลอนดอนในปี พ.ศ. 2520 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการเผยแผ่แนวทางวัดป่าในประเทศไทยไปยังฝั่งตะวันตก ในช่วงเวลาที่ท่านอยู่ที่ลอนดอน พระอาจารย์ชาได้สอนการปฏิบัติทำสมาธิโดยให้ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมและการใช้ชีวิตของสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ท่านมองเห็นด้วยตัวท่านเองว่าชาวตะวันตกสนใจคำสอนของพระพุทธเจ้า และอังกฤษเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์สำหรับการเผยแผ่ของคณะสงฆ์


โดยไม่คาดคิดว่าก่อนจะจากไปประเทศไทย พระอาจารย์ชาได้ทิ้งศิษย์ตะวันตกอาวุโสที่สุด คือท่านอาจารย์สุเมโธไว้ที่ลอนดอน พร้อมด้วยพระภิกษุอีกไม่กี่รูปและด้วยความพยายามอย่างหนัก จึงได้ก่อตั้งวัดแห่งแรก (วัดจิตตวิเวก) ขึ้นในปี พ.ศ. 2522


จากนั้นก็มีวัดอื่นๆ เกิดขึ้นมากมายในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งวัดป่าชิปท์เว็ท


 


พระภิกษุดำเนินชีวิตอย่างไร


ชีวิตของพระภิกษุเกี่ยวข้องกับระเบียบตามพระวินัยหลายประการเช่น ห้ามใช้เงิน ห้ามทำอาหาร ห้ามขุดดิน

พระวินัยเหล่านี้ทำให้พระภิกษุต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากฆราวาสเป็นอย่างมาก


ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันระหว่างพระภิกษุและฆราวาสได้เกิดขึ้น โดยพระภิกษุเป็นผู้สั่งสอน (หรือเป็นตัวอย่างของการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและสงบสุข) ในขณะที่ฆารวาสเป็นผู้จัดหาสิ่งจำเป็นพื้นฐานให้แก่พระภิกษุ (และผู้ที่อาศัยอยู่ในวัด)


ในพิธีอุปสมบท พระภิกษุที่เพิ่งอุปสมบทจะได้รับการเตือนว่าชีวิตที่เขาเลือกคือการส่งเสริมความเรียบง่ายและลดความยึดติดกับโลกวัตถุ

ปัจจัย 4 มีความสำคัญต่อชีวิตของพระภิกษุในการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายและมุ่งเน้นที่การปฏิบัติธรรม ในขณะที่การรักษาวินัยของพระภิกษุไว้ ปัจจัยเหล่านี้มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต


  1. เครื่องนุ่งห่ม (จีวร)

    เครื่องนุ่งห่มพื้นฐานที่พระภิกษุนุ่งห่มโดยทั่วไปประกอบด้วยสามชิ้น ได้แก่ จีวร, สบง และสังฆาฏิ เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของความเรียบง่ายและการสละออก ตัวอย่างเรียบง่ายที่สุดคือการใช้ผ้าขี้ริ้วทำจีวร

  2. เสนาสนะ (ที่อยู่อาศัย):

    สถานที่ที่พระภิกษุอาศัยอยู่ต้องเรียบง่ายและใช้งานได้จริง เพื่อป้องกันสภาพอากาศและเป็นสถานที่สำหรับการศึกษาและทำสมาธิ

    ตัวอย่างเรียบง่ายที่สุดคือโคนต้นไม้ ถ้ำ หรือกระท่อมธรรมดาๆ

  3. อาหาร (บิณฑบาต):

    สิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน ซึ่งพระภิกษุได้รับจากบิณฑบาต พระภิกษุในเอเชียจะออกบิณฑบาตทุกวันเพื่อรับอาหารจากฆราวาส เดินทางจากบ้านหนึ่งไปอีกบ้านหนึ่งเพื่อรับอาหาร โดยยึดถือแนวทางการดำเนินชีวิตด้วยสิ่งของที่ผู้อื่นให้มาอย่างเอื้อเฟื้อ

  4. ยา (การดูแลสุขภาพ):

    สิ่งจำเป็นในการรักษาสุขภาพและรักษาโรค ซึ่งอาจรวมถึงยาพื้นฐานหรือการเข้าถึงการรักษาพยาบาล พระภิกษุต้องพึ่งฆราวาสในการจัดหายาและดูแลสุขภาพ ตัวอย่างเรียบง่ายที่สุดคือการดื่มน้ำปัสสาวะหมัก


ปัจจัยพื้นฐานแปดประการ (อัฏฐบริขาร)

  • จีวรสามผืน: สำหรับคลุมร่างกาย

  • บาตร: สำหรับรองรับและใช้ฉันอาหาร

  • มีดโกน: สำหรับโกนศีรษะและเครา

  • เข็มและด้าย: สำหรับซ่อมแซมจีวร

  • รัดประคต: สำหรับรัดสบงให้เข้าที่

  • ที่กรองน้ำ: สำหรับกรองแมลงออกจากน้ำดื่ม (ไม่ค่อยได้ใช้กันในสมัยนี้)


 

บาตร

อาหารบิณฑบาต


บาตร


นอกเหนือไปจากจีวรแล้ว บาตรถือเป็นบริขารที่สำคัญที่สุดของพระภิกษุสงฆ์ เพราะเป็นภาชนะสำหรับใส่อาหารเวลาฉัน


ปัจจุบันบาตรส่วนใหญ่ทำด้วยสเตนเลส แต่ก็สามารถทำจากเหล็กหรือดินเหนียวได้เช่นกัน


พระภิกษุสงฆ์ได้รับการฝึกให้ดูแลบาตรของตนอย่างระมัดระวัง เหมือนศีรษะของพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้ พระภิกษุที่เพิ่งบวชใหม่ในโลกตะวันตกจึงได้รับบาตรเซรามิกเป็นเวลา 5 ปีแรก


การออกบิณฑบาต


ในประเทศไทย พระภิกษุจะเดินเท้าเปล่า สะพายบาตรไปตามชุมชนและหมู่บ้านในท้องถิ่นทุกเช้าตอนรุ่งสาง คนในท้องถิ่นจะถวายอาหารโดยใส่อาหารในบาตรด้วยอาการสงบสำรวมเรียกว่า บิณฑบาต เป็นกิจวัตรที่พระภิกษุสงฆ์ได้รับอาหาร และให้ฆราวาสได้ทำบุญ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพระภิกษุสงฆ์และฆราวาสในพระพุทธศาสนาของไทย

ในประเทศนอร์เวย์ พระภิกษุจะออกบิณฑบาตในเมืองเป็นครั้งคราว ช่วงเวลาหลังรุ่งสางเล็กน้อย  โดยปกติจะยืนอยู่ใกล้กับซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านขายของชำ ชุมชนในท้องถิ่นอาจนำอาหารมาถวายหรือถามคำถามกับพระสงฆ์ได้

อย่าได้เขินอายหากคุณเห็นพระภิกษุสงฆ์ในชิปท์เว็ท คุณสามารถถามอะไรก็ได้ที่คุณต้องการทราบ


อาหารสำหรับใส่บาตร

พระสงฆ์นิกายเถรวาทควรรับอาหารที่นำมาถวายด้วยความเคารพ ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่การจำกัดอาหารบางชนิด แต่สำคัญที่การหลีกเลี่ยงการบริโภคมากเกินไปและการปฏิบัติตนอย่างพอประมาณ

โดยทั่วไป พระสงฆ์สามารถฉันอาหารได้เกือบทุกชนิด โดยมีข้อยกเว้นสำหรับอาหารบางประเภทได้แก่:

  1. เนื้อและปลาดิบ

  2. เนื้อสัตว์จากสัตว์ที่ถูกฆ่าโดยจำเพาะสำหรับพระสงฆ์

  3. เนื้อจากคน ช้าง ม้า สุนัข งู สิงโต เสือ เสือดาว หมี ไฮยีนา

แม้ว่าการฉันอาหารมังสวิรัติหรือวีแกนจะไม่ใช่ข้อบังคับ แต่พระสงฆ์บางรูปอาจเลือกฉันอาหารเหล่านี้ หลักการสำคัญคือการฉันอาหารอย่างมีสติและปล่อยวางจากความสุขในการฉันอาหาร แนวทางนี้เน้นที่ทัศนคติของพระสงฆ์เกี่ยวกับอาหารและการบำเพ็ญเพียร ไม่ใช่การยึดมั่นกับอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง แนวทางนี้สอดคล้องกับแนวคิดทางพุทธศาสนาที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับการไม่ยึดติดและแนวทางสายกลาง



 

หุ่นแสดงการนุ่งห่มของพระสงฆ์

1 - 2 - 3 - 4 - 5

1. การแต่งกายของพระภิกษุในเวลาประกอบพิธี

ในระหว่างการประกอบพิธี เช่น การปฏิบัติสมาธิร่วมกันหรือการสวดปาติโมกข์ พระภิกษุจะสวมจีวร 3 ผืนตามที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต ได้แก่:

  • ผ้าสบง (อันตรวาสก): ผ้าชิ้นเล็กใช้สำหรับห่มท่อนล่างของร่างกาย

  • ผ้าจีวร (อุตตรวาสก): ผ้าผืนใหญ่ใช้ห่มคลุมทั้งร่างกาย โดยจะห่มคลุมไหล่ซ้าย

  • ผ้าสังฆาฏิ (สังฆาฏิ): มีขนาดเท่ากับจีวร แต่ทำด้วยผ้าสองชั้น และจะพับห่มไว้ที่ไหล่ซ้าย

  • ประคตเอว: ใช้สำหรับรัดสบงให้แน่นกับร่างกาย

  • เสื้อหรือผ้าห่มไหล่ (อังสะ) ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ


2. การแต่งกายของพระสงฆ์เมื่อออกนอกวัด



หากพระสงฆ์จะออกนอกวัด จะต้องนุ่งห่มผ้าแบบเดียวกับที่อยู่ภายในวัด ยกเว้นผืนผ้าจีวร พระสงฆ์จะต้องห่มจีวรคลุมไหล่ทั้งสองข้าง โดยจะเก็บผืนผ้าที่ไม่ได้ห่มไว้ในที่พักที่ปลอดภัย

หากพระสงฆ์จะออกนอกวัดหลายวัน จะต้องนำผ้าสังฆาฏิติดตัวไปด้วย โดยอาจพาดบ่าหรือพกเก็บในกระเป๋าไปด้วยก็ได้ มีพระวินัยของพระสงฆ์ว่าพระสงฆ์ไม่ควรอยู่ห่างจีวร 3 ผืนในราตรีก่อนอรุณวันรุ่งขึ้น


3. การแต่งกายแบบไม่เป็นทางการที่ใช้ในประเทศไทย

ในแต่ละวัน พระสงฆ์ไม่จำเป็นต้องสวมจีวรทั้งหมด พระสงฆ์จะนุ่งผ้าสบง (พร้อมรัดประคตเอว) เท่านั้น ในประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเขตร้อน พระสงฆ์จะสวมผ้าอังสะเพื่อปกปิดร่างกายส่วนบน


4. การแต่งกายแบบไม่เป็นทางการที่ใช้ในวัดทางฝั่งตะวันตก

ในแต่ละวัน พระสงฆ์ไม่จำเป็นต้องสวมจีวรทั้งหมด พระสงฆ์จะนุ่งผ้าสบง (พร้อมรัดประคตเอว) เท่านั้น เมื่ออยู่นอกประเทศไทย พระสงฆ์มักจะสวมเสื้อคลุมเพื่อปกปิดร่างกายส่วนบน ในฤดูร้อน พระสงฆ์อาจใช้ผ้าอังสะคลุมไหล่แบบเดียวกับที่เมืองไทย


5. การนุ่งห่มของพระสงฆ์เมื่อออกบิณฑบาต

เมื่อพระสงฆ์ออกบิณฑบาต จะนุ่งห่มเหมือนการออกนอกวัด คือ จีวรจะคลุมไหล่ทั้งสองข้าง ต่างกันเพียงว่าพระสงฆ์จะนำบาตรติดตัวไปด้วย


6. ขั้นตอนการทำจีวร 



ความเรียบง่ายของจีวรสะท้อนถึงคุณค่าในพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการสละออก ความสุภาพเรียบร้อย และการไม่ยึดติดกับทรัพย์สมบัติ การนุ่งห่มผ้าปะหรือผ้าเก่าเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นของพระสงฆ์ที่จะดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย


ตามประเพณีสายพระป่าของไทย พระสงฆ์จะได้รับการสอนให้เย็บจีวรเอง ในความเป็นจริง ผู้ที่จะอุปสมบทมักจะเตรียมการเย็บจีวรทั้ง 3 ผืนด้วยตนเอง พระสงฆ์สามารถใช้จักรเย็บผ้าหรือเย็บด้วยมือก็ได้ โดยจะใช้ผ้าขาวหรือผ้าย้อมก็ได้


ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นทีละขั้นตอนในการทำผ้าสบงโดยใช้ผ้าขาว จีวรทั้งหมดทำตามแบบมาตรฐานเดียวกันกับที่พระอานนท์ได้ออกแบบตามคำแนะนำของพระพุทธเจ้าว่า "ให้เป็นเหมือนทุ่งนาในอาณาจักรมคธ"


ขั้นตอนการเย็บผ้า


  1. การคำนวณ - พระสงฆ์ต้องกำหนดว่าต้องการขนาดผ้าเท่าใดจากนั้นคำนวณว่าจะแบ่งผ้าอย่างไร

  2. การวาด - วาดเส้นตามรูปแบบลงบนผ้าโดยใช้ดินสอหรือชอล์ก

  3. การตัด - พระสงฆ์จะตัดส่วนที่ต้องตัดอย่างระมัดระวัง แยกชิ้นส่วนขอบออก

  4. การเย็บ - จากนั้นจึงเริ่มเย็บ ดังจะเห็นได้จากตัวอย่าง การเย็บทำเป็น 2 ขั้นตอน เย็บครั้งแรก (ใช้ด้ายสีแดง) จากนั้นเย็บครั้งที่ 2 (ใช้ด้ายสีน้ำตาล)

  5. การขลิบให้ได้ขนาด - ก่อนจะติดขอบ ผ้าจะถูกตัดให้ได้ขนาดที่ต้องการ

  6. อนุวาต (ผ้าสาบ) - ติดชิ้นส่วนขอบเข้ากับผ้าหลัก

  7. มุมผ้า - ขั้นตอนสุดท้ายคือการเย็บมุมของจีวร


จากนั้นจะต้องย้อมผ้าก่อนจึงจะนุ่งห่มได้ สีที่ใช้สามารถทำจากสารเคมีหรือจากธรรมชาติก็ได้ ในประเทศไทย สีธรรมชาติทำมาจากแก่นไม้ของต้นขนุน นิยมเรียกว่า สีแก่น หรือ สีกรัก หรือกรักแก่นขนุนขึ้นอยู่กับภาษาของแต่ละท้องถิ่น


ขั้นตอนการทำสีย้อมผ้า


  1. สับแก่นไม้ - ขั้นตอนนี้เริ่มจากท่อนไม้ พระสงฆ์จะใช้มีดพร้าสับท่อนไม้ให้เป็นชิ้นเล็กๆ

  2. การต้ม - เมื่อได้ชิ้นไม้เพียงพอแล้ว นำไปต้มในน้ำเป็นเวลาหลายชั่วโมง โดยปกติจะใช้ฟืน

  3. การเคี่ยว - นำชิ้นไม้ออก จากนั้นต้มน้ำที่มีสีจนน้ำระเหยเกือบหมด

  4. การรอ - ขั้นตอนนี้อาจใช้เวลานานหลายชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปริมาณสีย้อมที่ทำ ต้องคนส่วนผสมเกือบตลอดเวลา เพราะตะกอนอาจไหม้ได้หากปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป

  5. การทดสอบ - เมื่อเคี่ยวได้ตามที่ต้องการ (ลักษณะเหมือนยาแก้ไอ) พระสงฆ์จะทดลองย้อมสีโดยใช้ผ้าขาวผืนเล็ก

  6. การกรอง - ขั้นตอนสุดท้ายคือการกรองสีย้อมเพื่อเอาสิ่งสกปรกออกเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ใส


bottom of page