บริเวณลานเทศบาล - 21 กันยายน
ในโอกาสที่ วัดป่าชิปท์เว็ท ได้จัดนิทรรศการขนาดเล็กเพื่อนำเสนอชีวิตของพระภิกษุ โดยเน้นไปที่เครื่องนุ่งห่มของพระภิกษุและกระบวนการทำจีวร
สารบัญ
พวกเราเป็นใคร
เราปักหลักที่นี่ได้อย่างไร
ที่มา
เมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อน พระพุทธเจ้าทรงประสูติที่เมืองลุมพินี (ปัจจุบันคือประเทศเนปาล) พระองค์ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายจนกระทั่งอายุได้ 29 ปี เมื่อได้พบเห็นความทุกข์ยากนอกกำแพงพระราชวัง ซึ่งทำให้พระองค์สละชีวิตที่สุขสบายและออกแสวงหาการตรัสรู้
หลังจากบำเพ็ญเพียรและทำสมาธิเป็นเวลา 6 ปี พระองค์ทรงบรรลุธรรมขณะนั่งใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ในเมืองพุทธคยา ทรงได้รับการขนานนามว่าพระพุทธเจ้า ซึ่งหมายถึง "ผู้ตื่นรู้" ทรงใช้เวลาที่เหลือของพระองค์ในการสอนผู้อื่นให้บรรลุธรรมและยุติความทุกข์ที่เกิดขึ้น
คำสอนของพระองค์แพร่หลายไปทั่วอินเดียและในที่สุดก็ทั่วเอเชีย โดยพัฒนาเป็นสำนักและแนวปฏิบัติต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไป
ประเทศไทย
พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ประเทศไทยเมื่อศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ตั้งแต่นั้นมา พระพุทธศาสนาก็มีบทบาทโดดเด่นในสังคมและวัฒนธรรมไทยไม่มากก็น้อย ขึ้นอยู่กับกษัตริย์และผู้ปกครอง
ประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนาไทยมีลักษณะเป็นวัฏจักรแห่งความเสื่อมถอยและการฟื้นคืน ซึ่งถูกหล่อหลอมโดยอิทธิพลภายนอก และบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป พระพุทธศาสนายังคงมีความยืดหยุ่น ปรับตัวเข้ากับความท้าทายในปัจจุบันได้ พร้อมทั้งพยายามรักษาหลักคำสอนและการปฏิบัติที่เป็นแกนหลักสำคัญไว้
ในศตวรรษที่ 20 พระพุทธศาสนาแบบวัดป่าในประเทศไทยได้เติบโตขึ้น ซึ่งเป็นการปฏิรูปที่นำโดยบุคคลสำคัญ เช่น พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ชา และท่านอื่นๆ ซึ่งเน้นย้ำถึงการกลับคืนสู่ระเบียบวินัยของสงฆ์ที่เคร่งครัด การทำสมาธิ การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ ลักษณะเช่นนี้ได้รับการยอมรับและได้รับความนิยมในระดับนานาชาติ ซึ่งเรียกว่า พระพุทธศาสนาแบบวัดป่าในประเทศไทย
พระอาจารย์ชา - พ.ศ. 2461 ถึง 2535
พระอาจารย์ชาเป็นพระสงฆ์ไทยที่ได้รับการเคารพนับถือและเป็นอาจารย์สอนการทำสมาธิ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาแบบวัดป่าของประเทศไทย พระอาจารย์ชาเป็นที่รู้จักจากคำสอนที่เรียบง่ายและปฏิบัติได้จริง โดยเน้นย้ำถึงวินัยสงฆ์ที่เคร่งครัดและการเจริญสติในชีวิตประจำวัน พระอาจารย์ชาได้ก่อตั้งวัดหนองป่าพง ซึ่งเป็นวัดป่าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ซึ่งกลายมาเป็นศูนย์กลางของผู้ปฏิบัติธรรมทั้งชาวไทยและชาวตะวันตก คำสอนของท่านยังคงมีอิทธิพลต่อชุมชนชาวพุทธทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านลูกศิษย์ชาวตะวันตกที่ก่อตั้งวัดขึ้นในต่างประเทศ พระอาจารย์ชาเป็นที่จดจำจากความสำคัญของการทำสมาธิ ความเรียบง่าย และการมองเห็นธรรมชาติของจิต
ในปี พ.ศ. 2510 พระภิกษุหนุ่มชาวอเมริกันได้เดินทางมาที่วัดป่าพง หลังจากนั้นไม่นาน เขาได้ขออาศัยและฝึกฝนที่นั่น เขาได้กลายเป็นลูกศิษย์ชาวตะวันตกรูปแรกของพระอาจารย์ชา
วัดนานาชาติแห่งแรก
ในปี พ.ศ. 2517 ลูกศิษย์ชาวตะวันตกจำนวนหนึ่งซึ่งนำโดยพระอาจารย์สุเมโธ ได้ไปจำพรรษาในป่าช้าซึ่งอยู่ห่างจากวัดหนองป่าพงไปไม่กี่กิโลเมตร เมื่อสิ้นสุดพรรษา ชาวบ้านในพื้นที่ได้ร้องขออย่างเป็นทางการให้พระอาจารย์ชาจัดตั้งวัดเป็นการถาวรในสถานที่ดังกล่าว
วัดป่านานาชาติ ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้พระภิกษุชาวตะวันตกที่พูดภาษาอังกฤษได้เข้ามาปฏิบัติธรรมตามแนวทางวัดป่าไทย วัดแห่งนี้เน้นระเบียบวินัยสงฆ์ที่เคร่งครัด การทำสมาธิ และการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกลมกลืนกับธรรมชาติ วัดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของผู้ปฏิบัติธรรมจากต่างประเทศ และมีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่คำสอนของพระอาจารย์ชาไปทั่วโลก
ไปสู่ฝั่งตะวันตก
ตามคำเชิญของคณะสงฆ์อังกฤษ พระอาจารย์ชาได้ไปเยือนลอนดอนในปี พ.ศ. 2520 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการเผยแผ่แนวทางวัดป่าในประเทศไทยไปยังฝั่งตะวันตก ในช่วงเวลาที่ท่านอยู่ที่ลอนดอน พระอาจารย์ชาได้สอนการปฏิบัติทำสมาธิโดยให้ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมและการใช้ชีวิตของสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ท่านมองเห็นด้วยตัวท่านเองว่าชาวตะวันตกสนใจคำสอนของพระพุทธเจ้า และอังกฤษเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์สำหรับการเผยแผ่ของคณะสงฆ์
โดยไม่คาดคิดว่าก่อนจะจากไปประเทศไทย พระอาจารย์ชาได้ทิ้งศิษย์ตะวันตกอาวุโสที่สุด คือท่านอาจารย์สุเมโธไว้ที่ลอนดอน พร้อมด้วยพระภิกษุอีกไม่กี่รูปและด้วยความพยายามอย่างหนัก จึงได้ก่อตั้งวัดแห่งแรก (วัดจิตตวิเวก) ขึ้นในปี พ.ศ. 2522
จากนั้นก็มีวัดอื่นๆ เกิดขึ้นมากมายในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งวัดป่าชิปท์เว็ท
พระภิกษุดำเนินชีวิตอย่างไร
ชีวิตของพระภิกษุเกี่ยวข้องกับระเบียบตามพระวินัยหลายประการเช่น ห้ามใช้เงิน ห้ามทำอาหาร ห้ามขุดดิน
พระวินัยเหล่านี้ทำให้พระภิกษุต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากฆราวาสเป็นอย่างมาก
ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันระหว่างพระภิกษุและฆราวาสได้เกิดขึ้น โดยพระภิกษุเป็นผู้สั่งสอน (หรือเป็นตัวอย่างของการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและสงบสุข) ในขณะที่ฆารวาสเป็นผู้จัดหาสิ่งจำเป็นพื้นฐานให้แก่พระภิกษุ (และผู้ที่อาศัยอยู่ในวัด)
ในพิธีอุปสมบท พระภิกษุที่เพิ่งอุปสมบทจะได้รับการเตือนว่าชีวิตที่เขาเลือกคือการส่งเสริมความเรียบง่ายและลดความยึดติดกับโลกวัตถุ
ปัจจัย 4 มีความสำคัญต่อชีวิตของพระภิกษุในการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายและมุ่งเน้นที่การปฏิบัติธรรม ในขณะที่การรักษาวินัยของพระภิกษุไว้ ปัจจัยเหล่านี้มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต
เครื่องนุ่งห่ม (จีวร):
เครื่องนุ่งห่มพื้นฐานที่พระภิกษุนุ่งห่มโดยทั่วไปประกอบด้วยสามชิ้น ได้แก่ จีวร, สบง และสังฆาฏิ เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของความเรียบง่ายและการสละออก ตัวอย่างเรียบง่ายที่สุดคือการใช้ผ้าขี้ริ้วทำจีวร
เสนาสนะ (ที่อยู่อาศัย):
สถานที่ที่พระภิกษุอาศัยอยู่ต้องเรียบง่ายและใช้งานได้จริง เพื่อป้องกันสภาพอากาศและเป็นสถานที่สำหรับการศึกษาและทำสมาธิ
ตัวอย่างเรียบง่ายที่สุดคือโคนต้นไม้ ถ้ำ หรือกระท่อมธรรมดาๆ
อาหาร (บิณฑบาต):
สิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน ซึ่งพระภิกษุได้รับจากบิณฑบาต พระภิกษุในเอเชียจะออกบิณฑบาตทุกวันเพื่อรับอาหารจากฆราวาส เดินทางจากบ้านหนึ่งไปอีกบ้านหนึ่งเพื่อรับอาหาร โดยยึดถือแนวทางการดำเนินชีวิตด้วยสิ่งของที่ผู้อื่นให้มาอย่างเอื้อเฟื้อ
ยา (การดูแลสุขภาพ):
สิ่งจำเป็นในการรักษาสุขภาพและรักษาโรค ซึ่งอาจรวมถึงยาพื้นฐานหรือการเข้าถึงการรักษาพยาบาล พระภิกษุต้องพึ่งฆราวาสในการจัดหายาและดูแลสุขภาพ ตัวอย่างเรียบง่ายที่สุดคือการดื่มน้ำปัสสาวะหมัก
ปัจจัยพื้นฐานแปดประการ (อัฏฐบริขาร)
จีวรสามผืน: สำหรับคลุมร่างกาย
บาตร: สำหรับรองรับและใช้ฉันอาหาร
มีดโกน: สำหรับโกนศีรษะและเครา
เข็มและด้าย: สำหรับซ่อมแซมจีวร
รัดประคต: สำหรับรัดสบงให้เข้าที่
ที่กรองน้ำ: สำหรับกรองแมลงออกจากน้ำดื่ม (ไม่ค่อยได้ใช้กันในสมัยนี้)
บาตร
อาหารบิณฑบาต
บาตร
นอกเหนือไปจากจีวรแล้ว บาตรถือเป็นบริขารที่สำคัญที่สุดของพระภิกษุสงฆ์ เพราะเป็นภาชนะสำหรับใส่อาหารเวลาฉัน
ปัจจุบันบาตรส่วนใหญ่ทำด้วยสเตนเลส แต่ก็สามารถทำจากเหล็กหรือดินเหนียวได้เช่นกัน
พระภิกษุสงฆ์ได้รับการฝึกให้ดูแลบาตรของตนอย่างระมัดระวัง เหมือนศีรษะของพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้ พระภิกษุที่เพิ่งบวชใหม่ในโลกตะวันตกจึงได้รับบาตรเซรามิกเป็นเวลา 5 ปีแรก
การออกบิณฑบาต
ในประเทศไทย พระภิกษุจะเดินเท้าเปล่า สะพายบาตรไปตามชุมชนและหมู่บ้านในท้องถิ่นทุกเช้าตอนรุ่งสาง คนในท้องถิ่นจะถวายอาหารโดยใส่อาหารในบาตรด้วยอาการสงบสำรวมเรียกว่า บิณฑบาต เป็นกิจวัตรที่พระภิกษุสงฆ์ได้รับอาหาร และให้ฆราวาสได้ทำบุญ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพระภิกษุสงฆ์และฆราวาสในพระพุทธศาสนาของไทย
ในประเทศนอร์เวย์ พระภิกษุจะออกบิณฑบาตในเมืองเป็นครั้งคราว ช่วงเวลาหลังรุ่งสางเล็กน้อย โดยปกติจะยืนอยู่ใกล้กับซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านขายของชำ ชุมชนในท้องถิ่นอาจนำอาหารมาถวายหรือถามคำถามกับพระสงฆ์ได้
อย่าได้เขินอายหากคุณเห็นพระภิกษุสงฆ์ในชิปท์เว็ท คุณสามารถถามอะไรก็ได้ที่คุณต้องการทราบ
อาหารสำหรับใส่บาตร
พระสงฆ์นิกายเถรวาทควรรับอาหารที่นำมาถวายด้วยความเคารพ ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่การจำกัดอาหารบางชนิด แต่สำคัญที่การหลีกเลี่ยงการบริโภคมากเกินไปและการปฏิบัติตนอย่างพอประมาณ
โดยทั่วไป พระสงฆ์สามารถฉันอาหารได้เกือบทุกชนิด โดยมีข้อยกเว้นสำหรับอาหารบางประเภทได้แก่:
เนื้อและปลาดิบ
เนื้อสัตว์จากสัตว์ที่ถูกฆ่าโดยจำเพาะสำหรับพระสงฆ์
เนื้อจากคน ช้าง ม้า สุนัข งู สิงโต เสือ เสือดาว หมี ไฮยีนา
แม้ว่าการฉันอาหารมังสวิรัติหรือวีแกนจะไม่ใช่ข้อบังคับ แต่พระสงฆ์บางรูปอาจเลือกฉันอาหารเหล่านี้ หลักการสำคัญคือการฉันอาหารอย่างมีสติและปล่อยวางจากความสุขในการฉันอาหาร แนวทางนี้เน้นที่ทัศนคติของพระสงฆ์เกี่ยวกับอาหารและการบำเพ็ญเพียร ไม่ใช่การยึดมั่นกับอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง แนวทางนี้สอดคล้องกับแนวคิดทางพุทธศาสนาที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับการไม่ยึดติดและแนวทางสายกลาง
หุ่นแสดงการนุ่งห่มของพระสงฆ์
1. การแต่งกายของพระภิกษุในเวลาประกอบพิธี
ในระหว่างการประกอบพิธี เช่น การปฏิบัติสมาธิร่วมกันหรือการสวดปาติโมกข์ พระภิกษุจะสวมจีวร 3 ผืนตามที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต ได้แก่:
ผ้าสบง (อันตรวาสก): ผ้าชิ้นเล็กใช้สำหรับห่มท่อนล่างของร่างกาย
ผ้าจีวร (อุตตรวาสก): ผ้าผืนใหญ่ใช้ห่มคลุมทั้งร่างกาย โดยจะห่มคลุมไหล่ซ้าย
ผ้าสังฆาฏิ (สังฆาฏิ): มีขนาดเท่ากับจีวร แต่ทำด้วยผ้าสองชั้น และจะพับห่มไว้ที่ไหล่ซ้าย
ประคตเอว: ใช้สำหรับรัดสบงให้แน่นกับร่างกาย
เสื้อหรือผ้าห่มไหล่ (อังสะ) ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ
2. การแต่งกายของพระสงฆ์เมื่อออกนอกวัด
หากพระสงฆ์จะออกนอกวัด จะต้องนุ่งห่มผ้าแบบเดียวกับที่อยู่ภายในวัด ยกเว้นผืนผ้าจีวร พระสงฆ์จะต้องห่มจีวรคลุมไหล่ทั้งสองข้าง โดยจะเก็บผืนผ้าที่ไม่ได้ห่มไว้ในที่พักที่ปลอดภัย
หากพระสงฆ์จะออกนอกวัดหลายวัน จะต้องนำผ้าสังฆาฏิติดตัวไปด้วย โดยอาจพาดบ่าหรือพกเก็บในกระเป๋าไปด้วยก็ได้ มีพระวินัยของพระสงฆ์ว่าพระสงฆ์ไม่ควรอยู่ห่างจีวร 3 ผืนในราตรีก่อนอรุณวันรุ่งขึ้น
3. การแต่งกายแบบไม่เป็นทางการที่ใช้ในประเทศไทย
ในแต่ละวัน พระสงฆ์ไม่จำเป็นต้องสวมจีวรทั้งหมด พระสงฆ์จะนุ่งผ้าสบง (พร้อมรัดประคตเอว) เท่านั้น ในประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเขตร้อน พระสงฆ์จะสวมผ้าอังสะเพื่อปกปิดร่างกายส่วนบน
4. การแต่งกายแบบไม่เป็นทางการที่ใช้ในวัดทางฝั่งตะวันตก
ในแต่ละวัน พระสงฆ์ไม่จำเป็นต้องสวมจีวรทั้งหมด พระสงฆ์จะนุ่งผ้าสบง (พร้อมรัดประคตเอว) เท่านั้น เมื่ออยู่นอกประเทศไทย พระสงฆ์มักจะสวมเสื้อคลุมเพื่อปกปิดร่างกายส่วนบน ในฤดูร้อน พระสงฆ์อาจใช้ผ้าอังสะคลุมไหล่แบบเดียวกับที่เมืองไทย
5. การนุ่งห่มของพระสงฆ์เมื่อออกบิณฑบาต
เมื่อพระสงฆ์ออกบิณฑบาต จะนุ่งห่มเหมือนการออกนอกวัด คือ จีวรจะคลุมไหล่ทั้งสองข้าง ต่างกันเพียงว่าพระสงฆ์จะนำบาตรติดตัวไปด้วย
6. ขั้นตอนการทำจีวร
ความเรียบง่ายของจีวรสะท้อนถึงคุณค่าในพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการสละออก ความสุภาพเรียบร้อย และการไม่ยึดติดกับทรัพย์สมบัติ การนุ่งห่มผ้าปะหรือผ้าเก่าเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นของพระสงฆ์ที่จะดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย
ตามประเพณีสายพระป่าของไทย พระสงฆ์จะได้รับการสอนให้เย็บจีวรเอง ในความเป็นจริง ผู้ที่จะอุปสมบทมักจะเตรียมการเย็บจีวรทั้ง 3 ผืนด้วยตนเอง พระสงฆ์สามารถใช้จักรเย็บผ้าหรือเย็บด้วยมือก็ได้ โดยจะใช้ผ้าขาวหรือผ้าย้อมก็ได้
ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นทีละขั้นตอนในการทำผ้าสบงโดยใช้ผ้าขาว จีวรทั้งหมดทำตามแบบมาตรฐานเดียวกันกับที่พระอานนท์ได้ออกแบบตามคำแนะนำของพระพุทธเจ้าว่า "ให้เป็นเหมือนทุ่งนาในอาณาจักรมคธ"
ขั้นตอนการเย็บผ้า
การคำนวณ - พระสงฆ์ต้องกำหนดว่าต้องการขนาดผ้าเท่าใดจากนั้นคำนวณว่าจะแบ่งผ้าอย่างไร
การวาด - วาดเส้นตามรูปแบบลงบนผ้าโดยใช้ดินสอหรือชอล์ก
การตัด - พระสงฆ์จะตัดส่วนที่ต้องตัดอย่างระมัดระวัง แยกชิ้นส่วนขอบออก
การเย็บ - จากนั้นจึงเริ่มเย็บ ดังจะเห็นได้จากตัวอย่าง การเย็บทำเป็น 2 ขั้นตอน เย็บครั้งแรก (ใช้ด้ายสีแดง) จากนั้นเย็บครั้งที่ 2 (ใช้ด้ายสีน้ำตาล)
การขลิบให้ได้ขนาด - ก่อนจะติดขอบ ผ้าจะถูกตัดให้ได้ขนาดที่ต้องการ
อนุวาต (ผ้าสาบ) - ติดชิ้นส่วนขอบเข้ากับผ้าหลัก
มุมผ้า - ขั้นตอนสุดท้ายคือการเย็บมุมของจีวร
จากนั้นจะต้องย้อมผ้าก่อนจึงจะนุ่งห่มได้ สีที่ใช้สามารถทำจากสารเคมีหรือจากธรรมชาติก็ได้ ในประเทศไทย สีธรรมชาติทำมาจากแก่นไม้ของต้นขนุน นิยมเรียกว่า สีแก่น หรือ สีกรัก หรือกรักแก่นขนุนขึ้นอยู่กับภาษาของแต่ละท้องถิ่น
ขั้นตอนการทำสีย้อมผ้า
สับแก่นไม้ - ขั้นตอนนี้เริ่มจากท่อนไม้ พระสงฆ์จะใช้มีดพร้าสับท่อนไม้ให้เป็นชิ้นเล็กๆ
การต้ม - เมื่อได้ชิ้นไม้เพียงพอแล้ว นำไปต้มในน้ำเป็นเวลาหลายชั่วโมง โดยปกติจะใช้ฟืน
การเคี่ยว - นำชิ้นไม้ออก จากนั้นต้มน้ำที่มีสีจนน้ำระเหยเกือบหมด
การรอ - ขั้นตอนนี้อาจใช้เวลานานหลายชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปริมาณสีย้อมที่ทำ ต้องคนส่วนผสมเกือบตลอดเวลา เพราะตะกอนอาจไหม้ได้หากปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป
การทดสอบ - เมื่อเคี่ยวได้ตามที่ต้องการ (ลักษณะเหมือนยาแก้ไอ) พระสงฆ์จะทดลองย้อมสีโดยใช้ผ้าขาวผืนเล็ก
การกรอง - ขั้นตอนสุดท้ายคือการกรองสีย้อมเพื่อเอาสิ่งสกปรกออกเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ใส